“ฝันเมืองดาว” ทำไมคนเมืองต้องเห็นดาว?
Date
9 January 2016
Time
-
Place
หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา
รายละเอียดกิจกรรม
เเสงอาทิตย์ที่ลับจากขอบฟ้า … มีเพียงท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดสนิทกับกลุ่มเเสงสว่างน้อยใหญ่ค่อยๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมดบนท้องฟ้า บ้างอยู่เป็นกลุ่ม บ้างอยู่เดี่ยวๆ เเสงสว่างที่สะท้อนจากเเสงอาทิตย์จากซีกโลกหนึ่งทำให้มันมีเเสงระยิบระยับเเวววาว
มันคือ “ดวงดาว” ที่คนเมืองหลายคนอยากจะเห็นมัน แต่ก็ยากนักที่จะสัมผัสดวงดาวสวยๆ นั้น ด้วยเเสงสว่างจากถนนหนทาง อาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่มีมากจนเป็นมลพิษต่อการมองเห็นดวงดาว…
ทำไมเป็นเช่นนั้น?
คนเมืองจำเป็นต้องเห็นดาวหรือไม่? เเล้วฝันเมืองดาวเป็นจริงได้หรือไม่?
มูลนิธิโลกสีเขียวชวนคุณพ่อคุณเเม่อุ้มลูก จูงหลาน เเละครอบครัว มาเปิดโลกของดวงดาว เหนือฟ้าเมืองคาร์บอนต่ำยามค่ำคืน หอบหมอนหอบเสื่อมาโต้รุ่งนอนดูดาวกันตั้งเเต่หัวค่ำจรดเช้ามืด “ฝันเมืองดาว” ทำไมคนเมืองต้องเห็นดาว
เเหงนหน้าขึ้นฟ้าเรียนรู้เรื่องดาวด้วยกันฟินๆ กับ อ.วรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต ปราชญ์เเห่งดวงดาว
สรุปผลกิจกรรม
มูลนิธิโลกสีเขียวชวนคุณพ่อคุณเเม่อุ้มลูก จูงหลาน เเละครอบครัว มาเปิดโลกของดวงดาว เหนือฟ้าเมืองคาร์บอนต่ำยามค่ำคืน หอบหมอนหอบเสื่อมาโต้รุ่งนอนดูดาวกันตั้งเเต่หัวค่ำจรดเช้ามืด “ฝันเมืองดาว” ทำไมคนเมืองต้องเห็นดาว
เเหงนหน้าขึ้นฟ้าเรียนรู้เรื่องดาวด้วยกันฟินๆ กับ อ.วรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต ปราชญ์เเห่งดวงดาว
โพสต์โดย มูลนิธิโลกสีเขียว บน 10 มกราคม 2016
บันทึกฝันเมืองดาว
เรื่อง : กรรณิการ์ พลอยสว่าง
การเดินทางของคนเราเกิดขึ้นทุกวัน หลายคนจำต้องเดินทางเพราะหน้าที่ ขณะที่อีกหลายๆ คนเดินทางเพราะความฝัน ทุกๆ วันกับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เราต้องพบเจอกับรถราที่วิ่งไปมาอย่างแออัดบนท้องถนน เสียงแตรรถดังจนทำให้ฉันต้องสะดุ้งตื่นจากความฝันทุกครั้งที่เฉียดเข้าใกล้ ควันจากท่อไอเสียทำให้เราไม่เคยหายใจได้อย่างเต็มปอด นานแค่ไหนแล้วที่เราเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้าไม่รับรู้ความเป็นไปของสิ่งที่อยู่รอบๆตัว
ก้าวแรกของเช้าวันนี้ ฉันมีโอกาสได้เดินทางไปร่วมกิจกรรม “ฝันเมืองดาว” ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา และในการไปครั้งนี้เท่ากับฉันกำลังก้าวเดินตามความฝัน …ฝันที่ครั้งหนึ่งเคยทำมัน แต่แล้วก็ต้องห่างหายจากมันมานาน ฝันนั้นคือการได้นอนดูดาว ที่ทอแสงระยิบระยับลงมาจากฟ้า พาชีวิตถอยห่างออกมาจากความเร่งรีบ อยู่ในที่ที่เวลาเป็นของเราจริงๆ
เราเริ่มกิจกรรมช่วงแรกด้วยการทำความรู้จักกันผ่านการแนะนำตัวเองโดยให้ทุกคนจินตนาการร่วมกันว่าตนเองคือดวงดาวในระบบสุริยะที่โคจรมาพบกันทำให้ทุกคนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันฉันเชื่อเหลือเกินว่าหลังเสร็จกิจกรรมนี้แล้วแต่ละคนคงได้เพื่อนใหม่กลับไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงคำว่า “ฝันเมืองดาว” หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงใช้ชื่อนี้ แล้วทำไมคนเมืองจึงต้องเห็นดาว? จริงๆ เราอาจจะรู้คำตอบอยู่แล้วด้วยซ้ำ เพราะเรารู้ดีว่า ปัจจุบันธรรมชาติถูกเราคุกคามไปมากขนาดไหน เพียงแค่เราไม่ยอมรับว่าวันหนึ่งธรรมชาติจะหมดไป การที่ชวนกันมาดูดาว ก็เพราะต้องการตอกย้ำความสำคัญว่า ดวงดาวกับการใช้ชีวิตของเรามีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างน่ามหัศจรรย์มากขนาดไหน เราพึ่งพาดวงดาวมาตลอด ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักเข็มทิศ หรือนาฬิกา เลยด้วยซ้ำ และมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันกลับมาช่วยกันอนุรักษ์ท้องฟ้าให้มองเห็นแสงดาววับวาวเหมือนในอดีต
ในช่วงการบรรยายของดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ (พี่อ้อย) ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว มีเนื้อหาที่ทำให้ทั้งตัวฉันและผู้เข้าร่วมกิจกรรมหลายคนต้องตะลึง แสงไฟยามค่ำคืนในเมืองใหญ่ที่คนต่างมองว่ามันงดงาม กลับกลายเป็นหลุมพรางคร่าชีวิตสัตว์หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นนกอพยพในอเมริกาที่เดินทางในช่วงเวลากลางคืน บินชนกระจกบนตึกสูงได้รับบาดเจ็บล้มตายกว่าปีละ 100 ล้านตัว ขอย้ำว่า “หนึ่ง–ร้อย–ล้าน–ตัว” ลองนึกดูสิว่า ต้องใช้พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดไหน ถึงจะเอาร่างที่ไร้วิญญาณของนกเหล่านั้นมาวางไว้ได้จนหมด น่าเสียดายที่การเดินทางของมันต้องมาสิ้นสุดลงเพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเมือง แสงไฟส่องสว่างและกระจกใสตามประตูหน้าต่างของอาคารทำให้นกเห็นภาพสะท้อนผิดๆ หรือหลงคิดว่า นั่นคือแสงจันทร์และแสงดาวที่มันอาศัยนำทางไปยังจุดหมายปลายทาง หากเราปล่อยให้แสงไฟในเมืองฟุ้งกระจายจนบดบังแสงดาว ไม่แน่นะ..อีกไม่นานชะตากรรมของคนคงไม่ต่างจากนกเหล่านั้น
หลังจากการฟังบรรยายมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้เด็กๆตื่นเต้นไม่น้อยคือการได้เข้าไปท่องท้องฟ้าจำลองทำความรู้จักกับดวงดาวอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูดาวบนท้องฟ้าจริงหลังจากนี้พวกเราก็พร้อมที่จะออกไปเงยหน้ามองฟ้าสัมผัสแสงดาวของจริงกันแล้วแต่ละครอบครัวเริ่มทยอยกันจับจองพื้นที่กางเต็นท์สำหรับเป็นที่พักในคืนนี้
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว บรรยากาศยามค่ำคืนที่มีเพียงฟ้ากับดาวเป็นความรู้สึกที่เหนือคำบรรยายจริงๆ ค่ำคืนนี้ทำให้เราทุกคนได้เปิดมุมมองต่อดวงดาว ในหลายๆ มิติ ทำให้การดูดาวครั้งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ได้รับรู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลได้รู้จักทิศทางการเคลื่อนที่ของดวงดาวมากขึ้นได้รู้ว่าแสงของดวงดาวสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเราได้อย่างในแง่ของการชี้วัดสภาพแวดล้อมของสังคมเมืองที่เราอยู่อาศัยหากเรามองไม่เห็นแสงดาวบนท้องฟ้าเลยนั่นอาจแปลได้ว่ามลภาวะทางแสงหรือมลพิษทางอากาศรอบๆตัวเรานั้นมีมากเกินไปนั่นเอง
นอกจากนั้นฉันยังได้ค้นพบว่า เราทุกคนมีเครื่องมือช่วยดูดาวติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด นั่นก็คือ มือเปล่าของเรานั่นเอง หากรู้วิธีเราสามารถใช้มันวัดองศาดวงดาวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งตัวฉันและอีกหลายๆ คนอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น นั่นคือความรู้ที่ว่า “แสงดาวที่เราเห็นในวันนี้ เป็นภาพแสงจากอดีตที่เพิ่งเดินทางมาถึงดวงตาเรา” แม้ว่าแสงจะเดินทางได้รวดเร็วมากจนเราไม่เคยรู้สึกว่ามันต้องใช้เวลาในการเดินทางเลย
แต่ดวงดาวที่เรามองเห็นบนท้องฟ้ามีระยะใกล้ไกลต่างกันลิบลับ แสงจากดาวบางดวงใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่หลายๆ ดวงต้องใช้เวลาหลายสิบ หลายร้อยปี แสงจึงส่องมาถึงเรา ราวกับว่าพวกเรากำลังย้อนเวลามองดูแสงดาวที่มาจากอดีต!” นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ทำให้ฉันและอีกหลายๆ คน ร้อง โอ้โห!! ไปตามๆ กัน ที่สำคัญการได้นอนดูดาวครั้งนี้ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้มีเวลาฉุกคิดกับบางสิ่งที่เราพลาดไป ได้ทิ้งความกังวลหลายอย่างไว้ข้างหลัง แล้วตั้งหน้าตั้งตาคุยกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับมาทักทายเรา แม้จะมีละอองน้ำค้างลงมาบ้าง แต่แสงดาวก็ทำให้หัวใจเราอบอุ่นพอที่จะพูดคุยกันตลอดคืน นอกจากวันนี้จะเป็นวันเด็กแล้ว ยังถือเป็นวันครอบครัวได้อีกด้วย เพราะทุกคนได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักอย่างเต็มที่และมีความสุขที่สุด
การที่เรามองเห็นแสงดาวยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ถือเป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรายังคงดีอยู่ บ่อยครั้งที่คนเราไม่ได้ทบทวนดูให้ดีว่า ธรรมชาติมีความสำคัญขนาดไหน เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียมันไป เราอาจจะต้องมานั่งเสียดายทีหลัง ซึ่งมันอาจจะสายเกินไป
หากฉันถามดวงดาวได้ฉันก็อยากจะถามว่าฝันของดวงดาวคืออะไรและหากฉันเป็นดวงดาวฉันคงตอบไปว่าฉันฝันที่จะส่องแสงสุกสกาวอยู่บนฟ้าให้ทุกคนได้เชยชมความสวยงามของฉันแบบนี้ตลอดไป
..ค่ำคืนนี้ ลองมาแหงนหน้าดูดวงดาวกันนะคะ ท้องฟ้าบ้านเรายังมีดาวเหลืออยู่สักกี่ดวงให้เราได้ชมกัน..
หมายเหตุ บันทึกจากการเข้าร่วมกิจกรรม “ฝันเมืองดาว: ทำไมคนเมืองต้องเห็นดาว” จัดโดยมูลนิธิโลกสีเขียว เมื่อวันที่ 9 – 10 มกราคม 2559 ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7รอบพระชนมพรรษาฉะเชิงเทรา(สนใจ อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ คืนที่ฟ้าไร้ดาวใน Under the Dome)
ขอขอบคุณวิทยากรผู้ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ
อาจารย์วรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯฉะเชิงเทรา
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว
และที่ขาดไม่ได้ ขอบคุณพี่ๆ วิทยากรหอดูดาวฯ ทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับและคอยอำนวยความสะดวกให้พวกเราทุกๆ คน ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงช่วงสุดท้ายของกิจกรรม ขอบคุณนะคะ ^^…
ร่วมสมัครกิจกรรม
ขออภัย กิจกรรมนี้ปิดรับสมัครแล้ว