ฝุ่นจิ๋วกับการป้องกันที่ปลายจมูก
ฉันนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ในวันที่สถานการณ์ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ในกรุงเทพเริ่มคลี่คลาย ผู้ว่ากรุงเทพมหานครแถลงข่าวว่า “ผมเชื่อว่าธรรมชาติเข้าข้างผม” เพราะมีลมช่วยพัดพาฝุ่นจิ๋วไป ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ขอนแก่นและโคราชมีปริมาณฝุ่นจิ๋วติดอันดับสูงสุดของประเทศ และถูกแทนที่โดยจังหวัดแพร่ ลำปาง และเชียงใหม่ในวันต่อๆ มา ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ของฉันต่างประกาศหาซื้อหน้ากากกันฝุ่นจิ๋วและเครื่องฟอกอากาศกันจ้าละหวั่น บรรยากาศตื่นตระหนกมิต่างกับที่คนกรุงเทพประสบตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพื่อนชาวกรุงของฉันลงทุนซื้อเครื่องฟอกอากาศมูลค่ากว่าหมื่นบาทและเครื่องวัดฝุ่นจิ๋วแบบพกพาราคาประมาณสองพันบาท ซึ่งท่ามกลางความตื่นตระหนกและตื่นตัว เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่งเพราะสินค้าขาดตลาด ในห้วงเวลาเดียวกัน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกาหรือนาซ่าเผยแพร่แบบจำลองการเคลื่อนไหวของฝุ่นจิ๋วจากจุดกำเนิดมุมหนึ่งของโลกเคลื่อนไปยังจุดต่างๆ ทั่วโลก เป็นการตอกย้ำว่าฝุ่นจิ๋วเคลื่อนที่แบบไร้พรมแดนและเป็นปัญหาสากล ดูแล้วตื่นเต้นและน่ากลัวไปพร้อมกัน ภาพจาก: https://board.postjung.com/934650 วิกฤติฝุ่นจิ๋วที่ปกคลุมกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ในปีนี้ทำให้คนไทยทั้งตระหนกและตระหนักถึงภัยอันตรายกันถ้วนหน้า และเนื่องจากเป็นปีแรกที่ประเทศไทยถูกจู่โจมจากฝุ่นจิ๋วเป็นวงกว้าง จากปกติวิกฤติฝุ่นจิ๋วครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ จึงเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่มาตรการรับมือส่วนใหญ่จะเป็นมาตรการเฉพาะหน้าแบบนักผจญเพลิง อะไรที่ฉวยได้ก็หยิบมาใช้ เข้าทำนองดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการทำฝนเทียมหรือการฉีดน้ำ หากวงจรธรรมชาติและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนปีหน้าเราจะเผชิญหน้ากับวิกฤติฝุ่นจิ๋วอีกครั้ง และหากภาครัฐไทยรู้จักใช้โอกาสในวิกฤติแทนการเชื่อโชคลางหรือรอธรรมชาติเข้าข้าง เราควรมีมาตรการเชิงรุกที่วัดผลได้เพื่อป้องกันการก่อมลพิษฝุ่นจิ๋วที่จุดกำเนิดแทนการป้องกันที่ปลายจมูกซึ่งทำให้คนไทยเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการซื้อเครื่องป้องกันที่ปลายจมูกและการรักษาความเจ็บป่วยจากฝุ่น เช่นเดียวกับที่ประเทศแห่งมลพิษอย่างจีนเคยทำให้เห็นมาแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ช่วงฤดูหนาวของทุกปี โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีนนับพันล้านคนควรมีโอกาสเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในที่โล่งแจ้ง เด็กเล็กและคนชราในเมืองหลวงปักกิ่งกลับต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านเรือน เพราะปริมาณฝุ่นจิ๋วเกินมาตรฐานความปลอดภัยทางสุขภาพ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสุขภาพของทุกผู้ทุกคน หากไม่มีการจัดการอาจบานปลายกลายเป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศได้ นายกรัฐมนตรีหลี่ เคอเฉียง จึงประกาศทำสงครามกับมลพิษต่อหน้าสมาชิกพรรคสภาประชาชนแห่งชาติจำนวนสามพันคน โดยบอกว่า “หมอกควันเป็นเหมือนสัญญาณไฟแดงของธรรมชาติที่เตือนให้เห็นถึงการพัฒนาที่มืดบอดและไร้ประสิทธิภาพ” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. […]