ขับรถที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องใช้เวลากี่วินาที เพื่อหยุดรถ?
1
ขับรถที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องใช้เวลากี่วินาที เพื่อหยุดรถ?*
นี่น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญในการขับรถ แต่ผมกลับพบคำถามทำนองนี้แต่ในโจทย์วิชาฟิสิกส์ (ลองกูเกิ้ลดูสิครับ)
ส่วนในเว็บบอร์ดพูดคุยเรื่องรถและในโฆษณารถยนต์ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องระยะหยุดมากไปกว่าอัตราเร่ง หรืออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน
หลายต่อหลายคนยังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ขับเร็วเกินที่กฎหมายกำหนดกันอย่างหน้าตาเฉย (ที่จริงก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาหรอกนะครับ เดาเอา -,-) บางที เราอาจคิดว่าขับเร็วแต่ไม่ไปชนใครก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แต่เดี๋ยวก่อน ในปี 2010 ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ 38.1 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนคิดเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุในทุกๆ ปี หนีไม่พ้น 3 เรื่อง คือ 1.ขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 2.เมาแล้วขับ 3.ขับรถโดยประมาท
ประเทศไทยได้เข้าร่วมรณรงค์ “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่ปี 2011-2020 ตามมติของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2010 หรือที่เรียกกันปฏิญญามอสโก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ “ลดอัตราการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของคนไทยลดลงครึ่งหนึ่ง หรือใน อัตราที่ต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ภายในปี 2020” ..(1)..
แต่เมื่อต้นปี 2014 University of Michigan ได้เผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยซึ่งระบุว่า อัตราผู้เสียชีวิตบนท้องถนนของไทยสูงถึง 44 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ทำให้ประเทศไทยครองตำแหน่งแชมป์ถนนอันตรายอันดับ 2 ของโลก ..(2).. เป็นรองเพียงประเทศ Namibia (สถิติ 45 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน) ที่อยู่ทวีปแอฟริกาใต้เท่านั้น แสดงให้เห็นว่ามาตรการเพิ่มความปลอดภัยทางถนนของเรายังไม่เป็นผลเท่าที่ควร
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (ปี 2013) ..(3).. ระบุว่า ในบรรดาการรณรงค์และบังคับใช้กฎหมาย 4 ประเด็นสำคัญของประเทศไทยอันได้แก่ 1.การควบคุมความเร็ว 2.เมาไม่ขับ 3.ใส่หมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อน 4.คาดเข็มขัดนิรภัย เรื่องการควบคุมความเร็ว มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายมากที่สุด ได้คะแนนเพียง 3 เต็ม 10 ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็อยู่ในเกณฑ์เกินครึ่งมาฉิวเฉียดเท่านั้น
2
อัตราความเร็วสูงสุดตามกฎหมาย
หากขับรถความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจะถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 67 และมาตรา 152 แล้วยังถูกหักคะแนน ส่งเข้ารับการอบรม และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ตามมาตรา 161 วรรคสามอีกด้วย
ถ้าว่ากันตามที่ระบุในกฎหมาย ผมคิดว่าบทลงโทษของบ้านเราก็มีความเข้มงวดพอสมควร ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ปรับเงินจนสามารถพักใช้ใบขับขี่ได้ แต่การบังคับใช้จริงหละหลวมมากจนแทบเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะสังเกตเห็นรถยนต์ขับเร็วเกินกำหนดในแทบทุกถนนในทุกๆ วัน
มีงานวิจัยอุบัติเหตุทางถนน ..(4).. ยืนยันว่าความเร็วสัมพันธ์กับโอกาสในการรอดชีวิต ถ้าขับรถด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วเกิดชนคนข้ามถนน (สำหรับคนขี่จักรยานก็คงไม่ต่างกัน) มีโอกาสสูงถึงร้อยละ 90 ที่คนถูกชนจะรอดชีวิตหรือไม่บาดเจ็บรุนแรง แต่หากรถชนคนในความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป โอกาสรอดชีวิตแทบจะเป็น 0
ดังนั้นในหลายๆ ประเทศที่เป็นมิตรกับคนอยู่ จึงกำหนดให้อัตราความเร็วสูงสุดในเขตเมืองวิ่งได้ไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น เพราะห่วงใยชีวิตมากกว่าการอำนวยความสะดวกรถยนต์
สำหรับเมืองไทยแม้ในถนนสายหลักของกรุงเทพฯ จะกำหนดให้วิ่งได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สถิติในทุกๆ ปีสะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงเวลาเร่งด่วน รถยนต์ไม่เคยทำความเร็วเฉลี่ยได้เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย แต่ก็ยังมีข่าวรถยนต์ชนคนข้ามถนนเสียชีวิตอยู่เสมอ
3
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับจักรยานเข้าครองพื้นที่สื่อกระแสหลักอีกครั้ง และเป็นข่าวไม่ดีอีกตามเคย เกิดเหตุรถกระบะขับแซงซ้ายชนครอบครัวนักปั่นจักรยานรอบโลกจนเป็นเหตุให้นายฮวน ฟรานซิสโก ชาย ชาวชิลี วัย 48 ปี เสียชีวิต ภรรยาและลูกได้รับบาดเจ็บบนถนนมิตรภาพ ช่วงรอยต่อระหว่างขอนแก่น-โคราช เป็นความสูญเสียที่เหมือนฝันร้าย ตามหลอกหลอนนักปั่นจักรยานในเมืองไทยอีกครั้ง เพราะหากย้อนกลับไปปีที่แล้วในช่วงเดือนเดียวกัน ชาวโลกต่างรับรู้ถึงข่าวของสองสามีภรรยาชาวอังกฤษที่ปั่นจักรยานรอบโลกมาหลายสิบประเทศ แต่ต้องมาจบชีวิตที่เมืองไทย
ความสูญเสียของนักปั่นจักรยานรอบโลกทั้ง 2 ครั้งนี้ ปลุกกระแสให้สังคมมาถกเถียงถึงมาตรฐานความปลอดภัยบนถนนบ้านเรา ที่นับวันจะยิ่งมีแนวโน้มแย่ลง แทบทุกฝ่ายมองว่า ภาครัฐต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น ออกใบขับขี่ให้ยากขึ้น ใช้บทลงโทษที่รุนแรงขึ้น ในส่วนของผู้ใช้รถใช้ถนนก็ควรมีสติตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเคารพกฎจราจรให้มากขึ้น
ผมในฐานะคนขี่จักรยาน ฟังๆ ดูแล้วยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เพราะแม้ว่าแต่ละวิธีจะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้จริง แต่หลายต่อหลายครั้งที่บ้านเรามักกระตือรือร้นแบบไฟไหม้ฟาง เข้มงวดกวดขันเดี๋ยวเดียวก็ลืมๆ มันไป เช่นอีเว้นท์รณรงค์ต่างๆ
หลายวันก่อนผมได้อ่านบทความของคุณสฤณี อาชวานันทกุล เรื่อง “ประชาธิปไตยแบบลื่นไหล” (liquid democracy) ซึ่งเสนอไอเดียประชาธิปไตยแบบเอาข้อดีของประชาธิปไตยทางตรงและแบบผู้แทนมารวมกัน โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัย ที่ทำให้การจัดการ รับส่งข้อมูลต่างๆ สามารถทำได้โดยไม่มีภาระต้นทุนและเงื่อนไขเวลาแบบในอดีต ทำให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจนโยบายสาธารณะได้มากกว่า 3 นาทีในคูหาเลือกตั้ง (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://thaipublica.org/2014/11/liquid-democracy-1/ )
ถ้าเรื่องใหญ่อย่างระบบการบริหารบ้านเมืองใช้เทคโนโลยีช่วยให้เกิดทางออกใหม่ๆ ได้ ผมคิดว่าเรื่องการบังคับใช้กฎหมายก็น่าจะพัฒนาตามเทคโนโลยีได้เช่นกัน
ในอดีตแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตำรวจจะสามารถตรวจสอบรถทุกคันบนถนนว่าละเมิดกฎจราจรอะไรบ้าง เว้นแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนั่งติดรถเราไปทุกที่ ต่อมาในระยะหลัง มีกล้องวงจรปิดช่วยตรวจสอบรถฝ่าไฟแดงตามสี่แยกต่างๆ มีกล้องดักจับรถที่วิ่งเร็วเกินกำหนดตามทางด่วน และทางหลวงพิเศษต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับขี่เกรงกลัวมากขึ้น แม้จะมีตัวช่วยเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไกลจากคำว่าครอบคลุมอยู่ดี
ถ้าเราตั้งใจลดจำนวนผู้เสียชีวิตจาก 44 คน ให้เหลือ 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนจริงๆ คงต้องใช้เทคโนโลยีช่วยมากกว่านี้ เช่น สร้างระบบ GPS Tracking เพื่อใช้ควบคุมรถยนต์ให้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยบังคับรถทุกคันที่ต่อภาษีให้ติดเครื่องจีพีเอสติดตามรถแบบที่ใช้ในรถส่งสินค้า (เดี๋ยวนี้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่หลักพันเท่านั้น) ซึ่งนอกจากจะบอกตำแหน่งที่อยู่แล้วยังบันทึกข้อมูลความเร็วได้อีกด้วย เมื่อใดที่ขับด้วยความเร็วเกินกำหนด ระบบจะเตือนและส่งข้อมูลมาให้ตำรวจออกใบสั่งปรับได้โดยอัตโนมัติ ถ้าทำได้อย่างนี้ คะแนนการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมความเร็วต้องเพิ่มมากกว่า 3 เต็ม 10 แน่ และจีพีเอสยังมีประโยชน์ในการติดตามรถต้องสงสัยหรือรถโจรกรรมอีกด้วย หากจะพัฒนาไปมากกว่านั้นอาจพัฒนาโปรแกรมให้ต้องเสียบใบขับขี่ก่อนออกสตารท์ให้ได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าบัตรเชื่อว่าน่าจะสามารถลดจำนวนคนไร้วินัยบนท้องถนนลงได้
ในเมื่อความอันตรายบนท้องถนนเกิดจากบรรดารถใช้เครื่องยนต์ทั้งหลาย คนเดินถนนและพาหนะเล็กๆ อย่างจักรยานที่ไม่เป็นพิษภัยต่อผู้อื่นน่าจะมีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากรถที่ใหญ่กว่าเหล่านี้ได้ หากถนนยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนทุกคนมีสิทธิอย่างเท่าเทียมในการสัญจรจริงๆ และหากรัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงใจ ผมเชื่อว่าสังคมเราจะมีนวัตกรรมเจ๋งๆ อีกมากมาย
*เฉลย : ใช้เวลาไม่กี่วินาทีหรอก แต่ต้องใช้ระยะทางมากถึง 50 – 80 เมตร เพื่อที่จะหยุดรถได้สนิท โดยระยะราว 15 – 30 เมตรแรกหมดไปกับการตัดสินใจเบรกเท่านั้น