in on February 19, 2016

พลังขาสูบ

read |

Views

IMG_8715

1

หลายปีก่อน คุณโตมร ศุขปรีชา นักเขียนและนักแปลที่ผันตัวมาเป็นนักปั่นจักรยานด้วยเช่นกัน เคยตั้งข้อสังเกตว่าการขี่จักรยานทำให้เรารับรู้สัมผัสลาดชันของพื้นผิวถนนในระดับที่ละเอียดขึ้น ชนิดที่หากมองด้วยตาเราอาจไม่เห็นความต่างแต่เราจะรู้สึกได้จากการปั่น  เพราะแรงถีบและความลาดชันย่อมส่งผลต่อความไหลลื่นของจักรยาน

เนินซึม (หรือเนินที่มีความชันน้อยๆ แต่มีช่วงยาวๆ ) อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เหมือนไม่สลักสำคัญอะไร  ยิ่งหากเดินทางด้วยรถยนต์เนินแบบนี้ไม่อยู่ในการรับรู้ของคนขับด้วยซ้ำ  แต่เนินแบบนี้นี่แหละที่จะเป็นบททดสอบร่างกายและจิตใจของนักปั่นจักรยานดีนัก เพราะเป็นช่วงที่ทำความเร็วไม่ขึ้น  จะฝืนเร่งให้พ้นเนินก็ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนจึงจะพ้นอาจเป็นอีก 1 กิโลเมตรหรือ 10 กิโลเมตรก็ได้  สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราผ่านมันไปได้ คือการยอมรับในความเป็นไปของธรรมชาติ ไม่ฝืน ไม่เร่งเร้าที่จะหลุดพ้นความลาดชันและปั่นไปเรื่อยๆ

เนินซึมไม่ได้เป็นเพียงบททดสอบของการปั่นจักรยานเท่านั้น แต่มันเป็นตัวปลุกประสาทสัมผัสให้เรารับรู้ถึงความลาดชันของภูมิประเทศ และนั่นเป็นการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติในอีกมิติหนึ่ง  วิถีจักรยานเป็นเครื่องมือสำคัญที่ปลุกการเรียนรู้นี้ให้กับเรา

 

2

เมื่อเดือนที่แล้ว ที่ทำงานของผมได้รับเชิญให้ไปจัดกิจกรรมโลว์คาร์บอนด้านจักรยาน ในสวนผักออร์แกนิกกลางเมืองในซอยทองหล่อ ทีมจัดงานจึงนึกถึงจักรยานปั่นไฟของมูลนิธิโลกสีเขียวที่เราเคยใช้ปั่นผลิตไฟฟ้าส่องสว่างบนเวทีคอนเสิร์ตปั่นเมือง แต่ความที่ครั้งนี้กิจกรรมเป็นตอนกลางวัน แสงสว่างที่ได้จากการปั่นไฟไหนเลยจะสู้แสงอาทิตย์ได้  ผมจึงคิดทดลองประดิษฐ์จักรยานสูบน้ำขึ้นมาใหม่ เพื่อเปลี่ยนแรงขาปั่นเป็นแรงสูบน้ำจากบ่อไปรดน้ำแปลงผักในสถานที่จัดงาน เป็นการสาธิตการใช้ประโยชน์จากการปั่นออกกำลังกาย

ที่จริงแล้วจักรยานสูบน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ ชาวเกษตรกรหัวก้าวหน้าหลายจังหวัดทั่วประเทศได้ทำใช้ในเรือกสวนไร่นากันอยู่แล้ว ผมเองก็เคยเห็นเคยลองมาบ้างดูไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงต่อล้อจักรยานเข้ากับมูเลย์ของปั้มชัก ทำให้การปั่นจักรยานไปขับเคลื่อนลูกสูบปั้มชักให้สูบน้ำขึ้นมาได้  แต่พอมาประดิษฐ์เองถึงได้พบว่าในความเรียบง่ายนั้น มีความลับเกี่ยวกับน้ำซ่อนอยู่ (ซึ่งที่จริงเรื่องนี้ก็อยู่ในวิชาฟิสิกส์ ช่วงม.ปลายนั่นแหละ)

ปั้มชัก มันจะทำหน้าที่ดูดน้ำจากที่หนึ่งส่งไปอีกทีนึง จึงมีรูให้ต่อท่ออยู่  2 รู  รูหนึ่งสำหรับน้ำเข้า รูหนึ่งสำหรับน้ำออก

แรกทีเดียวผมต่อรูน้ำเข้าออกด้วยสายยางที่ซื้อมาใหม่ ทันทีที่ต่อเสร็จก็ทดลองปั่นสูบน้ำ  ผลปรากฏว่าปั้มทำงานได้ดี  นอนยิ้มดีใจ ฝันหวานว่าวันรุ่งขึ้นจะไปหาสปริงเกอร์รดน้ำมาต่อจะได้รดน้ำกระจายทั่วแปลงผัก  เย็นวันรุ่งขึ้นผมทดลองปั่นจักรยานซ้ำก่อนที่จะต่อหัวสปริงเกอร์ พบว่าต้องปั่นหนักขึ้นมาก ทั้งๆ ที่ได้น้ำออกมาน้อยกว่าเดิมเสียอีก

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย จู่ๆ ปั้มสูบน้ำได้แย่ลง  ทดลองอยู่นานก็สังเกตเห็นว่าท่อสายยางดูดน้ำเข้าปั้มมันบีบตัวมากตอนออกแรงปั่น  อยากให้ลองจินตนาการถึงเวลาที่เราดูดน้ำจากแก้ว ถ้าเราบีบหลอดให้แบน เราต้องใช้แรงดูดมากกว่าเดิมจึงจะดูดน้ำขึ้นมาได้

สายยางของผมตากแดดมา 1 วัน ยางที่แข็งก็เลยนิ่มเหมือนถูกบีบให้แบน  เมื่อปั่นสูบน้ำจึงต้องออกแรงมากขึ้น นี่เป็นบทเรียนที่หนึ่ง ผมแก้ไขด้วยการซื้อท่อ PVC ท่อแบบที่เราใช้ต่อท่อประปาในบ้านมาแทนสายยางดูดน้ำ ผลทำให้ปั้มสูบได้ดีขึ้นเหมือนเดิม

แต่พอต่อสปริงเกอร์ที่เตรียมมาเข้าไปเท่านั้นแหละ อาการคล้ายๆ เดิม คือมูเล่ย์ปั้มหนืดต้องออกแรงปั่นมากขึ้นหลายเท่าเพื่อให้น้ำพุ่งออกหัวสปริงเกอร์ บทเรียนนี้เดาได้ไม่ยากว่า เพราะว่าน้ำมันไม่มีที่ไป เพราะรูออกมันถูกบีบให้แคบลงมาก ปั้มจึงต้องใช้แรงดันมากในการดันน้ำจำนวนเท่าเดิมออกไป ผมจึงจัดการตัดสายยางแล้วใส่ข้อต่อสามทางแยกน้ำออกเป็น 2 สายเพื่อต่อสปริงเกอร์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหัวโดยหวังว่าน้ำจะมีทางออกมากขึ้นเป็น 2 เท่า และไม่ต้องออกแรงปั่นมาก  ผลปรากฏว่าไม่สำเร็จผมต้องออกแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าเพื่อให้น้ำออกทั้งสองสปริงเกอร์ด้วยซ้ำ

มาค้นพบก็ตอนที่กระทืบปั่นจักรยานฝืนแรงน้ำไปแรงๆ อย่างหัวเสีย แรงดันน้ำดันให้ข้อต่อสามทางหลุด ทันใดนั้นปั้มก็ทำงานได้เบาหวิวแถมได้น้ำพุ่งออกเต็มประสิทธิภาพ  ผมหยิบเอาข้อต่อสามทางขึ้นมาดู พบว่ามันเป็นข้อต่อที่ออกแบบมาให้สายยางไซส์เล็กหรือใหญ่ใช้ร่วมกันได้หมด รูข้อต่อจึงทำมาเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดสายยางที่ผมใช้ และนี่เป็นเส้นผมบังภูเขาจริงๆ ครับ ผมจัดการหั่นข้อต่อทะลวงรูให้กว้างปัญหาก็จบ ^^ เอาเครื่องไปออกงานได้

 

3

ปัจจุบันแทบทุกบ้านในเมืองใหญ่ล้วนใช้ปั๊มไฟฟ้าสูบน้ำกันทั้งนั้น  บ้านผมเองก็ใช้ เราไม่เคยสนใจเลยว่าข้อต่ออเนกไซส์ที่ดูออกแบบมาอย่างฉลาดนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของปั๊มขนาดไหน เพราะเมื่อเราผลักภาระการออกแรงไปให้ไฟฟ้าทำงานแทนเรา เราก็ไม่ได้สนใจมันตราบใดที่สายน้ำปลายฝักบัวยังไหลแรงซู่ซ่าอยู่

การหันกลับมาพึ่งพลังงานจากตัวเองบ้าง  นอกจากจะทำให้เราได้เรียนรู้กฏของธรรมชาติแล้วยังช่วยให้เราใส่ใจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เพราะพลังกายของเรามีจำกัดใช้แรงมากยิ่งเหนื่อยมาก  หากมนุษย์สามารถเชื่อมสัมผัสความเหนื่อยจากการเผาผลาญพลังงานต่างๆ บนโลกนี้ได้  เราคงรู้จักใช้ทรัพยากรโลกอย่างมีประสิทธิภาพและเคารพในคุณของธรรมชาติโดยไม่ต้องมานั่งรณรงค์กันอย่างทุกวันนี้

ที่มา : นิตยสาร a day ฉบับ 177

อ้างอิง
  1. ภาพจาก : http://runbikeaholic.blogspot.com/2015/02/88.html
  2. ภาพจาก : http://pumpvr.com/joomla/index.php
ศิระ ลีปิพัฒนวิทย์

"ชีวิตการเดินทางในชีวิตประจำวันบนถนนเเสนจะยุ่งยาก เเถมต้องเจอกันคนอัดเเน่นบนรถเมล์เรามีจักรยานอยู่ที่บ้านทำไมไม่ลองเอามาขี่ดู" ชายหนุ่มผู้คร่ำหวอดอยู่กับวงการจักรยาน นักรณรงค์ฝ่ายรณรงค์มูลนิธิโลกสีเขียวและเป็นผู้พัฒนาเเผนที่จักรยานในกรุงเทพจนกลายมาเป็นเเอปพลิเคชัน "ปั่นเมือง" ในที่สุด เพื่อมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้กรุงเทพเป็นเมืองจักรยาน

Email

Share