ช่วงเดือนแรกๆ ที่ผมเดินทางไปไหนๆ ด้วยจักรยานเป็นช่วงปลายปีอากาศหนาวพอดี ผมว่าหน้าหนาวเหมาะที่สุดสำหรับการขี่จักรยาน อากาศเย็นสบาย แม้จะมีแดดจัดบ้างในตอนกลางวัน แต่เมื่อถีบจักรยานจนวิ่งฉิว ร่างกายก็จะปะทะลมเย็นๆ ให้ความรู้สึกสบายตัวยิ่งนัก แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องกลับบ้านตอนกลางคืน อากาศที่แสนเย็นสบายเวลาเราอยู่เฉยๆ กลับหนาวเกินไปเมื่อเราเคลื่อนตัวอยู่บนหลังอานจักรยาน
เจอแดดตอนกลางวัน และอากาศหนาวตอนกลางคืนบ่อยครั้งเข้า ผมก็ตัดสินใจเพิ่มเสื้อคลุมกันแดดกันหนาวเป็นสัมภาระประจำเวลาขี่จักรยาน
หน้าหนาวผ่านไป หน้าร้อนมาเยือน อุณหภูมิแสนร้อนระอุบนถนนตอนกลางวัน ทำให้ผมหาแว่นตากันแดด หมวก และปลอกแขน มาพกพาแทนเสื้อคลุมฯ และพอเข้าหน้าฝน เสื้อกันฝนก็เป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้
หากลองนึกดู จะเห็นว่าการปั่นจักรยานต้องรู้จักปรับตัวตามฤดูกาลเหมือนกันนะครับ พออากาศเปลี่ยนก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนสัมภาระตาม เพราะเมื่อเราอยู่บนหลังอาน เราต้องต้องสัมผัสความเป็นไปของสภาพแวดล้อมตลอดเวลา ถึงเวลาหนาวก็หนาว หน้าร้อนก็ร้อน ฝนตกก็เปียก ต่างกับการนั่งรถติดแอร์ แม้จะเห็นฝนตกแต่ก็ไม่ได้สัมผัส อากาศจะร้อนหนาวอย่างไร อาจรับรู้ได้แต่ไม่ต้องรู้สึก
หลายคนอาจคิดว่าขี่จักรยานนี่ลำบากจัง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ผมว่ามันเป็นช่องทางหนึ่งให้เราเข้าถึงธรรมชาติในเมือง ได้สัมผัสและเข้าใจมากขึ้น หากใครได้ลองขี่จักรยาน ย่อมรู้ดีว่าความสดชื่นเวลาสัมผัสลมเย็นๆ เมื่อขี่ผ่านสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นอย่างสวนลุมพินีกับความร้อนวูบวาบตอนปั่นแทรกผ่านฝูงรถยนต์ที่จอดติดอยู่กลางถนนใหญ่แตกต่างกันอย่างไร ผมว่าการได้สัมผัสธรรมชาติในเมืองอย่างที่เป็นจริงเป็นสิ่งพิเศษที่ได้จากการขี่จักรยาน เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าทิศทางของเมืองที่น่าอยู่ควรเป็นเช่นไร
ลองสมมติเล่นๆ นะครับว่า ถ้าจู่ๆ เครื่องปรับอากาศก็หายไปจากรถทุกคันบนท้องถนน คนเมืองร้อนอย่างกรุงเทพฯ จะทำอย่างไร ผมเชื่อว่าเราจะเห็นความสำคัญของการเพิ่มต้นไม้ในเมืองมากเสียกว่าการเรียกร้องให้ตัดต้นไม้เพื่อขยายถนนให้รถวิ่งเป็นแน่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองอีกหลายๆ อย่างก็คงจะถูกแก้ไขอย่างถูกทิศถูกทางมากขึ้น แต่ความจริงคือทุกวันนี้ เทคโนโลยีทำให้เราสะดวกสบายมากเหลือเกิน แค่มีเงินไม่มากนัก ก็สามารถหาซื้อแอร์ดี ๆ มาเปิดใช้ให้เย็นสบายได้ไม่ยาก จนบางคนอาจหลงลืมคุณค่าของต้นไม้ไปเสียแล้ว เหมือนลืมไปแล้วว่า ความเย็นที่เราได้มา มันต้องแลกกับการเพิ่มมลพิษและความร้อนให้กับอากาศข้างนอก
แม้ว่าการขี่จักรยานในเมืองยังต้องเผชิญกับความไม่สะดวกอยู่มาก แต่ถ้าทุกคนตัดช่องน้อยแต่พอตัวหลบหนีอากาศเสียเข้าไปขังตัวเองอยู่แต่ในรถแอร์ และนึกหลอกตัวเองว่ารอดพ้นจากปัญหาแล้ว เมืองนี้จะเป็นอย่างไร
น่าเสียดายที่หลายคนมักเลือกปิดประตูการรับรู้ธรรมชาติลง ด้วยการเพิกเฉยต่อปัญหา และหลายครั้งยังเลือกหนีปัญหาด้วยทางเลือกที่กลายเป็นต้นเหตุของปัญหานั้นเสียเอง และเมื่อใดก็ตามที่อยากสัมผัสธรรมชาติ สูดอากาศดีๆ ให้เต็มปอด ก็มุ่งมั่นเผาฟอสซิลเดินทางหลายร้อยกิโลเพื่อไปแสวงหาธรรมชาติที่อยู่แสนไกลจากเมืองที่ตนอยู่
ทำไมเราไม่มาทำให้เมืองที่เราอยู่ทุกวันนี้ เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น สามารถสูดหายใจได้เต็มปอดในทุกที่แม้เดินอยู่ริมถนน การจราจรไม่คับคั่งไม่มีเสียงดังรบกวน สามารถเดินทางในเวลาที่กำหนดได้เอง บรรยากาศทั่วเมืองร่มรื่นเย็นสบาย มีต้นไม้ใหญ่อยู่ท่ามกลางความเจริญเติบโตของเมือง
…
…
(เว้นบรรทัด “ว่าง” ไว้ให้ปลดปล่อยจินตนาการถึงเมืองในฝัน ^^)
กำลังคิดว่าผมฝันลมๆแล้งๆ อยู่หรือเปล่าครับ ใช่ครับผมฝัน แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง เพราะหากวันนี้เรามองไม่เห็นความหวังเสียแล้ว วันหน้าเมืองจะดีขึ้นได้อย่างไร
เพราะทุกสิ่งที่เราทำ เปลี่ยนแปลงโลกเสมอ!!
ใครจะรู้ว่า การก้าวออกมาขี่จักรยานในวันนี้ก็อาจส่งผลเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ในวันหน้าก็ได้
ลองสังเกตดูสิครับ ทุกวันนี้เวลาอยู่บนท้องถนน เราจะเห็นคนขี่จักรยานผ่านไปผ่านมา แม้ไม่มากมายอะไร แต่ก็เห็นได้อย่างสม่ำเสมอ วันๆ หนึ่งก็ต้องเจอ 4-5 คันเป็นอย่างน้อย ถ้าลองเทียบกับตอนที่ผมขี่จักรยานไปเรียนใหม่ๆ เมื่อ 4-5 ปีก่อน นานๆ ทีถึงจะเจอคนขี่จักรยานผ่านมา แสดงว่าตอนนี้คนเมืองหันมาสนใจจักรยานกันมากขึ้น ถ้าพวกเราออกมาขี่จักรยานกันมากๆ มีหรือที่ความต้องการของชาวจักรยานจะถูกละเลยไปได้อย่างไรกัน
ช่วงนี้ก็เข้าใกล้หน้าหนาวพอดี เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มต้นขี่จักรยานเสียด้วย แล้วจะไม่ลองออกมาขี่จักรยานสัมผัสธรรมชาติกันหน่อยเหรอครับ อาจเริ่มต้นขี่ใกล้ๆ บ้านก่อนก็ได้ครับ แม้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็ช่วยให้เมืองน่าอยู่ขึ้นได้หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรารู้จักธรรมชาติของเมืองมากขึ้น
ที่มา : คอลัมน์ bike lane นิตยสาร a day ตุลาคม 2554