งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อปีแล้วระบุว่าทุกปีมีขยะพลาสติกเกิดขึ้นราว 275 ล้านตันและไหลลงสู่ทะเลมากถึง 8 ล้านตัน ขยะเหล่านี้ย่อยสลายยากและหมุนเวียนอยู่ในทะเลหลายร้อยปี
นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีนกทะเลกว่าร้อยชนิดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลกว่า 30 ชนิดกินพลาสติกจนเป็นอันตรายถึงชีวิต โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ (UNEP) ประเมินว่าแต่ละปี ขยะพลาสติกสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลกถึงปีละ 2.8 แสนล้านบาท
การแก้ปัญหาขยะพลาสติกจึงกลายเป็นวาระระดับโลก UNEP เองก็เพิ่งเปิดตัวการรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก #CleanSeas ที่งาน World Ocean Summit ซึ่งจัดขึ้นที่บาหลีเมื่อวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าไปที่การกำจัดถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวและไมโครพลาสติกในเครื่องสำอางค์ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของขยะพลาสติกในทะเลภายในปี 2022
วิธีลดปริมาณถุงพลาสติกที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลที่สุดคือการบังคับเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ซึ่งสามารถนำเงินมาตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนงานอนุรักษ์ได้อีกด้วย อังกฤษเป็นประเทศล่าสุดที่นำเอาระบบเก็บภาษีถุงพลาสติกมาใช้ โดยกำหนดให้มีการเก็บเงิน 5 เพนนีหรือประมาณ 2 บาทต่อถุง
เพียง 6 เดือนหลังจากที่นำระบบนี้มาบังคับใช้ในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ผลปรากฎว่าจำนวนการใช้ถุงพลาสติกลดลงถึง 83% โดยสถิติระบุว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ 7 แห่งมีการใช้ถุงพลาสติกไปทั้งสิ้น 640 ล้านถุงในระยะเวลา6เดือน เมื่อเทียบกับสถิติเดิมที่มีการใช้มากถึง 7.64 พันล้านถุงตลอดทั้งปี
แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในสหราชอาณาจักรที่ออกกฎหมายบังคับให้มีการเก็บภาษีถุงพลาสติกก่อนหน้านี้แล้ว โดยเวลส์เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 ตามมาด้วยไอร์แลนด์เหนือในปี 2556 และ สก็อตแลนด์ในปี 2557 ซึ่งทุกประเทศต่างเห็นการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกอย่างเห็นได้ชัดภายในปีแรกของการเก็บภาษีถุงพลาสติกตั้งแต่ 76% 71% และ 80% ตามลำดับ
ระบบภาษีดังกล่าวถูกนำมาบังคับใช้กับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้าง 250 คนขึ้นไปในอังกฤษ โดยห้างค้าปลีกทุกแห่งจะต้องเก็บเงินค่าถุงพลาสติกอย่างน้อย 2 บาทต่อถุงพลาสติกชนิดใช้แล้วทิ้งหนึ่งถุง ภายใน 6 เดือนหลังมีการเก็บภาษีรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
- ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีการขึ้นทะเบียนทั้งหมดจำหน่ายถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งไปทั้งสิ้น 1.1 พันล้านถุง
- มีรายได้จากการจำหน่ายถุงพลาสติกไปทั้งสิ้น 41.3 ล้านปอนด์หรือราว 1,800 ล้านบาท
- เงินรายได้ราวสองในสามหรืออย่างน้อย 29.2 ล้านปอนด์หรือกว่า 1,200 ล้านบาทถูกบริจาคให้องค์กรการกุศลหรือกลุ่มอาสาสมัครในชุมชนที่ทำงานทางด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา สาธารณสุข และศิลปะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอังกฤษ Therese Coffey กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวนับเป็นข่าวดีมากๆที่จำนวนการใช้ถุงพลาสติกลดลงอย่างเหลือเชื่อ เพราะนั่นหมายความว่า เราสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ การจัดการหาที่ทิ้งขยะ และที่สำคัญท้องทะเลจะมีความสะอาดและปลอดภัยสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามสมาคมอนุรักษ์ทะเลแห่งสหราชอาณาจักรเรียกร้องว่าอังกฤษควรยกเลิกข้อยกเว้นสำหรับร้านค้าขนาดเล็ก เพราะเวลส์และสก็อตแลนด์ก็ไม่มีข้อยกเว้นดังกล่าว ซึ่งหากร้านค้าปลีกทั่วไปทุกขนาดมีการเก็บภาษีถุงพลาสติกด้วย จำนวนการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งน่าจะลดลงมากกว่านี้
สำหรับตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มมีการเก็บภาษีถุงพลาสติกคืออินโดนีเซีย ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศที่ทิ้งขยะลงทะเลมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก (อันดับหนึ่งคือจีน สามฟิลิปปินส์ สี่เวียดนาม และห้าประเทศไทย) กระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซียเริ่มเก็บภาษีถุงพลาสติกในร้านค้าปลีกใน 23 เมืองขนาดใหญ่ทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา โดยเก็บค่าถุงพลาสติกทุกประเภทราวถุงละ 50 สตางค์ และตั้งเป้าว่าจะนำเงินดังกล่าวมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อช่วยจัดการขยะและสนับสนุนงานขององค์กรเอกชนด้านต่างๆ มีตัวเลขระบุว่าภายในหนึ่งเดือนหลังมีการเก็บเงิน จำนวนถุงพลาสติกในเมืองต่างๆลดลงโดยเฉลี่ยถึง 40% กลุ่มอนุรักษ์หลายแห่งให้ความเห็นว่าค่าภาษีถุงละ 50 สตางค์นั้นถูกเกินไป และทางร้านค้าควรมีส่วนร่วมรณรงค์มากกว่านี้
ในส่วนของประเทศไทย โครงการ Chula Zero Waste หรือ จุฬาปลอดขยะ ได้เริ่มต้นรณรงค์ให้คนหันมาใช้ถุงผ้าและงดรับถุงพลาสติกเมื่อซื้อของสินค้าน้อยชิ้นในร้านสะดวกซื้อจำนวน 11 แห่งภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้การรณรงค์จะได้ผลพอสมควรคือสามารถลดจำนวนถุงพลาสติกลงได้เกือบครึ่งหนึ่งจากเดือนละประมาณ 130,000 ถุงเหลือราวๆ 70,000 ถุงภายในระยะเวลาสามเดือน แต่ปรากฎว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในราคาถุงละ 2 บาทแทนการแจกฟรี ซึ่งปรากฎกว่าหลังจากเริ่มเก็บค่าถุงในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จำนวนถุงพลาสติกลดลงจากเดือนมกราคมที่ใช้รวมกันราวๆ 70,200 ถุงเหลือเพียง 16,700 ถุง หรือลดลงถึง 76% ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว
กลไกที่น่าสนใจอีกอย่างของการเก็บภาษีถุงพลาสติกคือเงินทุนที่สามารถนำมาใช้ในการให้การศึกษา สนับสนุนองค์กรชุมชน และส่งเสริมให้มีการจัดการลดขยะอย่างเป็นระบบได้ เช่นกรณีของประเทศอังกฤษคาดว่าจะสามารถเก็บเงินจากภาษีถุงพลาสติกได้รวมกันสูงกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี
หากประเทศไทยต้องการจะหลุดจาก 10 อันดับแรกของประเทศที่สร้างขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้เปิดเผยตัวเลขว่าเราต้องลดขยะลงให้ได้ราว 60,000 – 160,000 ตันต่อปี หรือโดยเฉลี่ยเราต้องลดขยะพลาสติกลงให้ได้อย่างน้อยปีละ 11,000 ล้านชิ้น
สิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลควรผลักดันคือการออกกฏหมายให้ร้านค้าปลีกทุกประเภทเก็บภาษีถุงพลาสติก รวมถึงภาชนะพลาสติกทุกประเภท สำหรับภาชนะพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ก็น่าจะนำระบบเงินมัดจำมาใช้เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะสามารถจัดเก็บและนำกลับไปผลิตใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทเรียนจากทั่วโลกพิสูจน์มาแล้วในกรณีของถุงพลาสติกว่า เงินแค่ 2 บาทสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เห็นผลกว่าการรณรงค์สร้างจิตสำนึกเป็นไหนๆ เลิกจัดอีเวนต์แจกถุงผ้าแล้วมาช่วยกันผลักดันให้มีกฎหมายภาษีถุงพลาสติกกันเถอะครับ
ที่มาของข้อมูล
- England’s plastic bag usage drops 85% since 5p charge introduced ใน The Guardian 30 July 2016 https://www.theguardian.com/environment/2016/jul/30/england-plastic-bag-usage-drops-85-per-cent-since-5p-charged-introduced
- Indonesia’s plastic bag tax not enough, say experts ใน Southeast Asia Globe 16 September 2016 http://sea-globe.com/indonesia-plastic-bag-tax/
- Plastic waste inputs from land into the ocean (2015) โดย Dr Jenna R. Jambeck College of Engineering University of Georgia http://jambeck.engr.uga.edu/landplasticinput