จุดที่การผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุด (Peak Oil) หรือ “จุดสูงสุดของฮับเบิร์ต” (Hubbert’s Peak) เรียกตามชื่อของ ดร. เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต (Dr. M. King Hubbert) นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมน้ำมัน โดยในปี 1956 ดร.ฮับเบิร์ตคิดค้นแบบจำลองรูประฆังคว่ำ (bell curve) พยากรณ์จุดที่การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้น ทศวรรษ1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อยๆ
นักวิเคราะห์หลายคนต่างออกมาเตือนว่าปัจจุบันการผลิตน้ำมันโลกได้เลยจุดสูง สุดไปแล้ว บางส่วนมองว่ายังไม่ถึง แต่ก็จะถึงจุดนั้นอย่างแน่นอนภายในปี 2020 เนื่องจากสัญญาณที่บ่งชี้คือ ตัวเลขการผลิตน้ำมันทั่วโลกไม่เพิ่มขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา และการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ในรอบสิบปีที่ผ่านมามีแต่ที่ยากๆ ที่ไม่เคยขุดเจาะมาก่อน เช่น หินน้ำมัน (oil shale) และทรายน้ำมัน (tar sand)
อย่างไรก็ตาม จุด Peak Oil อาจเกิดขึ้นเร็วกว่านั้น ถ้าหากปริมาณการใช้น้ำมันของประชากรโลกเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะจากประเทศโตเร็วที่มีขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดีย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนสงสัยว่ากลุ่มโอเปค (กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน 13 ประเทศ) มีการแจ้งตัวเลขปริมาณน้ำมันสำรองสูงเกินกว่าที่มีอยู่จริง และไม่ยอมให้ใครตรวจสอบ เนื่องจากผูกโควตาการผลิตน้ำมันส่วนหนึ่งเข้ากับปริมาณน้ำมันสำรองที่มี ดังนั้นยิ่งแจ้งตัวเลขได้สูงก็จะยิ่งผลิตน้ำมันได้มาก ทำกำไรมหาศาลได้มากขึ้น
ในปี 2006 วารสาร Petroleum Intelligence Weekly ได้เอกสารลับของทางการคูเวตซึ่งระบุว่า ปริมาณน้ำมันสำรองที่แท้จริงของคูเวตนั้นมีเพียง 48,000 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าตัวเลขที่ประกาศต่อสาธารณะกว่าครึ่งหนึ่ง และตัวเลขที่แท้จริงนี้ก็รวมทั้งปริมาณ “น้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว” (proven reserves) และ “น้ำมันสำรองที่ยังไม่ยืนยัน” (unproven reserves) คือยังไม่ผ่านการพิสูจน์จากบุคคลที่สามว่ามีแน่นอนและขุดขึ้นมาใช้ได้จริง